วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2557


    
       หลัง การดับขันธปรินิพพานของพระกัสสปะสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาวพุทธต่างพร้อมใจกันเป็นสมานฉันท์ว่า จะสร้างมหาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ เพื่อให้มนุษย์ และเทวาทั้งหลายได้มาสักการะบูชา ในสมัยนั้นพระอรหันต์เถระรูปหนึ่ง เห็นว่าหน้ามุขทางด้านทิศเหนือของพระเจดีย์ยังก่อสร้างไม่เสร็จ เพราะยังขาดทองคำอยู่เป็นจำนวนมาก ท่านจึงทำหน้าที่ผู้นำบุญไปโปรดญาติโยมตามหมู่บ้านต่างๆ เพื่อประกาศข่าวบุญนี้ ซึ่งมีสาธุชนร่วมบริจาคทองคำมามากบ้างน้อยบ้าง ไม่มีผู้ใดที่ไม่มีส่วนร่วมในบุญครั้งนี้ เพราะผู้คนในสมัยนั้นรักการให้ทานมาก

          พระเถระได้เดินทางมาถึงบ้านของช่างทองผู้หนึ่งเพื่อบอกข่าวบุญนี้ ขณะนั้นเองช่าง ทองกำลังทะเลาะกับภรรยา จึงได้พูดกับภรรยาด้วยอารมณ์โกรธเคืองว่า เธอจงโยนพระศาสดาของเธอลงน้ำไปเสีย แม้ภรรยากำลังทะเลาะกับสามี เนื่องจากเป็นคนรู้จักบาปบุญคุณโทษ จึงให้สติสามีว่า พี่ทำกรรมหนักแล้ว พี่โกรธฉันก็ควรด่าฉันสิ แต่พี่ไปว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนั้น มันเป็นบาปหนักนะ ”      

          ช่างทองฟังดังนั้นก็ได้สติ เกิดความสลดใจ เขาขอให้พระเถระยกโทษให้ พระเถระกล่าวว่า ท่านไม่ได้ล่วงเกินเราหรอก แต่ท่านล่วงเกินพระบรมศาสดา ท่านจงขอขมาต่อพระองค์เถิด ช่างทองถามพระเถระว่า พระคุณเจ้าผู้เจริญ จะ ให้กระผมทำอย่างไรดี จึงจะให้พระศาสดาอดโทษให้ พระเถระจึงบอกให้ช่างทองทำหม้อดอกไม้ทองคำสามหม้อ นำไปไว้ภายในที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และให้ขอขมาโทษที่ได้กล่าวล่วงเกินพระบรมศาสดาต่อหน้าพระมหาเจดีย์         

          ช่างทองทำตามคำแนะนำของพระเถระ ได้ชักชวนลูกชายคนโตให้มาช่วยกันทำ แต่ได้รับการปฏิเสธว่า พ่อเป็นคนว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผมไม่เกี่ยว เพราะฉะนั้น พ่อทำคนเดียวเถอะเขาจึงชวนลูกชายคนกลาง ก็ได้รับการปฏิเสธอีกเช่นกัน แต่เมื่อชวนลูกชายคนเล็ก ลูกคนเล็กกลับคิดว่า ธรรมดา กิจธุระของพ่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ย่อมเป็นภาระของลูกด้วย เพราะภารกิจของพ่อคือหน้าที่ของลูก ดังนั้น ลูกคนเล็กจึงช่วยพ่อทำหม้อดอกไม้ทองคำจนสำเร็จ และนำไปบูชาพระเจดีย์      

  ด้วย ผลกรรมที่ช่างทองได้กล่าวร้ายต่อพระบรมศาสดาผู้บริสุทธิ์บริบูรณ์ แม้จะขอขมาและตาม เศษกรรมก็ยังตามส่งผลให้ช่างทองเมื่อเกิดมา ต้องถูกลอยนํ้าถึง ๗ ชาติ  

ที่มา
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7289.0;prev_next=next#new



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น